Carry
Trade
กับความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนโลก
บทสรุปผู้บริหาร
- Carry Trade
คือธุรกรรมการเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยโดยกู้ยืมเงินสกุลที่ผลตอบแทนต่ำเช่นเงินเยนและนำไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางญี่ปุ่น
(BOJ)
ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ในขณะที่ธนาคารกลางของประเทศอื่น
ๆ
ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยญี่ปุ่นและดอกเบี้ยโลกห่างกัน
จึงทำให้นักลงทุนกู้เงินสกุลเยนเพื่อมาซื้อสินทรัพย์สกุลอื่น
ๆ
ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินต่าง
ๆ
รวมทั้งค่าเงินบาทแข็งค่า
-
สศค.
วิเคราะห์ว่าความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนโลกในช่วงที่
2-3
สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดจากการปรับฐานของ
Carry Trade
เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นทำให้
BOJ
มีแนวโน้มที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ดอกเบี้ยโลกรวมทั้งดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มปรับลดลง
ดังนั้นนักลงทุนจึงแห่ถอนเงินจากตลาดเงินตลาดทุนในประเทศต่าง
ๆ
กลับไปคืนเงินกู้เยนใน
ญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตลาดหลักทรัพย์ในหลายประเทศปรับตัวลดลงในขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
-
มาตรการแก้ปัญหา
Carry Trade
ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงจูงใจของนักเก็งกำไรที่จะเข้าทำธุรกรรม
Carry Trade
อย่างรวดเร็ว
ซึ่งจะช่วยทำให้ทิศทางค่าเงินบาทสะท้อนปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงปี 2549 สืบเนื่องสู่ต้นปี 2550 ค่าเงินบาทและค่าเงินภูมิภาคแข็งค่าขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมาก ซึ่งความผันผวนในค่าเงินนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากธุรกรรมการเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยโดยกู้ยืมเงินสกุลที่ผลตอบแทนต่ำเช่นเงินเยนและนำไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่นสกุลเงินภูมิภาคเอเชีย หรือที่รู้จักกันในนาม Carry Trade อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2550 ค่าเงินเยนได้กลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศต่าง ๆ ปรับตัวลดลงมาก ซึ่งความผันผวนนี้อาจเกิดจากการปรับฐาน (Correction) ของธุรกรรม Carry Trade กลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จึงได้ทำการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของ Carry Trade ผลกระทบจากการปรับฐานของ Carry Trade ต่อแนวโน้มค่าเงินเยน ค่าเงินบาทและทิศทางตลาดเงินตลาดทุนโลก พร้อมทั้งเสนอแนะถึงมาตรการที่เหมาะสม